กระบวนการเรียนรู้ในอนาคต
ผู้เรียบเรียง
ชนารัตน์ บุณยรัตพันธุ์
นักเอกสารสนเทศชำนาญการ ฝ่ายบริการ
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามา ส่งผลกระทบต่อกระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงตามไปเช่นกัน โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดคือเรื่องของการศึกษาที่ถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สำคัญของทุกช่วงวัย โดยเฉพาะการปูพื้นฐานให้กับเด็กที่กำลังเริ่มต้นเข้าสู่ระบบการศึกษา แต่ปัญหาที่พบคือ ระบบการศึกษาไทยยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาได้ทันกับสถานการณ์โลกที่กำลังก้าวไปข้างหน้า ทั้งที่รับรู้กันดีอยู่แล้วว่า มีเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาส่งผลอย่างรวดเร็ว และในวงกว้าง นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่ปัญหาด้านเทคโนโลยีเท่านั้นที่จำเป็นต้องรับมือ ยังคงมีปัญหาอื่น ๆ แอบแฝงอีกมากมาย ที่หากไม่เร่งแก้ไข ย่อมส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้ในอนาคตของเด็กรุ่นใหม่ได้ อาทิ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่ไม่ด้อยไปกว่าปัญหาทางคุณภาพการศึกษาเลย จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า กระบวนการเรียนรู้แตกต่างจากรูปแบบเดิมไปอย่างไร และแนวทางในอนาคตเป็นเช่นไร เพื่อที่จะได้เตรียมรับมือและนำไปเป็นแนวทางปรับปรุงให้กระบวนการเรียนรู้หรือระบบการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

หลักการเรียนรู้ที่แตกต่างจากเดิม
หลักการของ ‘การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง’ ที่เป็นการท้าทายความเชื่อเดิม และหลักการ Double-Loop Learning ที่เป็นการเรียนรู้รูปแบบส่งผลให้เกิดการขยายขอบเขตวิธีการทำงานออกไปในขั้นแรก ก่อนจะส่งผลย้อนกลับไปยังทฤษฎี ที่ถือว่าแตกต่างจากเดิม ที่หากกล่าวย้อนไปในยุคเริ่มแรก และมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับต่อ ๆ มานั้น จะพบว่าเป็นดังนี้ ในยุคการศึกษา 1.0 เน้นครูเป็นศูนย์กลาง ยุคการศึกษา 2.0 เน้นทดสอบมาตรฐานหลักสูตรที่มีโครงสร้างทางการศึกษา ยุคการศึกษา 3.0 เน้นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในห้องเรียน ยุคการศึกษา 4.0 เน้นการเรียนรู้ส่วนบุคคล การคิดวิเคราะห์ เพิ่มทักษะในการแก้ปัญหา และยุคการศึกษา 5.0 ในปัจจุบันที่เราเห็นกันอยู่คือการเน้นการผสมผสานใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ นำมาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล และใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้แบบปรับตัวในการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้จะเป็นยุค 6.0 ที่เป็นการบูรณาการเสาหลัก 6 ประการ ได้แก่ ความเป็นผู้นำ ความรู้ ทักษะ อุตสาหกรรม การผลิต และผู้ประกอบการ 6.0 จำเป็นที่จะต้องพัฒนาแบบองค์รวม เน้นทั้งความเป็นพลเมืองโลก เทคโนโลยีขั้นสูง ความยั่งยืน และการเรียนรู้ตลอดชีวิต
อีกทั้ง ทักษะจำเป็นในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 4 ทักษะ ได้แก่ 1. ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม (Learning & Innovation Skills) หรือ “4C” ได้แก่ การคิดเชิงวิพากษ์และแก้ปัญหา (Critical Thinking & Problem Solving) ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity & Innovation) การสื่อสาร (Communication) และการทำงานร่วมกัน (Collaboration) 2. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี (Information, Media, and Technology Skills) ประกอบด้วยการรู้เท่าทันสารสนเทศ (Information Literacy) การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) และการรู้เท่าทันเทคโนโลยี (Technology Literacy / ICT Literacy) 3. ทักษะชีวิตและการทำงาน (Life and Career Skills) ประกอบด้วย ความยืดหยุ่นและปรับตัว (Flexibility & Adaptability) ความคิดริเริ่ม (Initiative) ทักษะทางสังคมและข้ามวัฒนธรรม (Social & Cross-Cultural Skills) ความเป็นผู้นำ (Leadership) การผลิตภาพและความรับผิดชอบ (Productivity & Accountability)
ตัวอย่างรูปแบบการเรียนรู้และสิ่งสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ในอนาคต
กลไกปฏิสัมพันธ์ของระบบการศึกษา ลดการส่งต่อจากบนสู่ล่างหรือ top-down ทำให้เกิดการเรียนรู้รูปแบบจากล่างขึ้นบนหรือ bottom-up มากขึ้น บทบาทผู้สอนควรเปลี่ยนมาเป็น “ผู้ชี้แนะ” (Facilitator) และสิ่งที่ควรตระหนักในการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ คือต้องเอื้อต่อความหลากหลายของ ‘ผู้เรียนทุกคน’ โดยจะ ‘ไม่ทำร้ายหรือทำลายบางคน’ อย่างไม่ตั้งใจ และเมื่อการเรียนรู้เป็นเรื่องของทุกคน การออกแบบระบบนิเวศจึงต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัยทั้งทางกายและใจ ผู้เรียนสามารถตั้งคำถามต่อประเด็นต่าง ๆ ได้ และเป็นพื้นที่รองรับทุกอารมณ์และทุกความซับซ้อนของมนุษย์ ทั้งนี้ การเรียนรู้จะเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการเรียนรู้แบบผสมผสาน (Blended Learning) เช่น การเรียนรู้แบบออนไลน์ควบคู่กับออนไซต์ การเรียนรู้แบบพลิกกลับ (Flipped Classroom) เป็นการที่ผู้เรียนได้ศึกษามาก่อน แล้วนำมาอภิปราย หรือกลายเป็นผู้สร้างการเรียนรู้ใหม่ ๆ ในห้องเรียน การเรียนรู้แบบปรับเปลี่ยนได้ (Adaptive Learning) เป็นการเรียนรู้ที่ปรับให้เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน โดยเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง อาทิ ระบบจัดการการเรียนรู้ (Learning Management Systems – LMS) เป็นการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยให้การเรียนการสอนเป็นไปได้ง่ายขึ้น เช่น Google Classroom, Moodle หรือ Canvas เครื่องมือเพื่อการทำงานร่วมกัน (Collaboration Tools)เช่น Google Docs, Miro หรือ Padlet ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถแชร์ข้อมูลหรือมีส่วนร่วมกับกิจกรรมในห้องเรียนได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม เทคโนโลยีความจริงเสมือน (VR) และความจริงเสริม (AR)เป็นการสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่ตื่นเต้นและสมจริงให้กับผู้เรียนได้
ในกระบวนการเรียนรู้รูปแบบใหม่นั้น หัวใจสำคัญอยู่ที่ผู้เรียนต้องสามารถสังเกตจากประสบการณ์ แล้วมีการ ‘สะท้อนกลับ’ (Reflection) ด้วยการคิดไปสู่หลักการเชิงนามธรรม ซึ่งตรงกันข้ามกับการเรียนรู้แบบเดิมที่คุ้นเคย ที่เป็นการเรียนจากทฤษฎีแล้วเอาไปปฏิบัติ โดยวิธีการนี้จะทำย้อนกลับจากภาคปฏิบัติเพื่อคิดไปหาทฤษฎี และเมื่อมีการนำ AI มาใช้ในโรงเรียน อาจเป็นในแง่ของการช่วยจัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับเฉพาะบุคคลมากขึ้น การช่วยทำงานประจำบางอย่างแทนได้ เพื่อให้ผู้สอนได้มีเวลาไปเพิ่มศักยภาพที่สำคัญให้กับการเรียนการสอนในรูปแบบอื่นแทน การจัดการชั้นเรียน การประเมินและวิเคราะห์ผลเพื่อพัฒนาหลักสูตร ตัวอย่าง การใช้ AI เช่น แพลตฟอร์ม DreamBox Learning, Century Tech, Smart Sparrow บอทตอบคำถามในโรงเรียน Turnitin เป็นต้น นอกจากนี้ เมื่อมีการนำ AI เข้ามาใช้เพิ่มขึ้น สิ่งที่แฝงมาด้วยนั้น อาจเป็นจำพวกข่าวลวง (Deepfake) ที่จำเป็นจะต้องสอนให้เด็กรู้เท่าทันประเด็นนี้เพิ่มเติม ด้วยเหตุผล 4 ประการ ได้แก่ 1) เพื่อให้เข้าใจโลกที่เปลี่ยนแปลง และรู้จักอีกหนึ่งรูปแบบของปัญญาประดิษฐ์ เป็นการแนะนำให้แยกแยะความจริงออกจากความเท็จให้ได้ รวมถึงทำให้ได้เรียนรู้ว่า AI Deepfake สามารถไปปรากฏในแพลตฟอร์มใดได้บ้าง 2) เพื่อป้องกันตัวเองจากการเป็นเหยื่อ โดยเฉพาะการล่วงละเมิดทางเพศ เป็นการสอนหรือให้ความรู้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเป็นเหยื่อที่ถูกหลอกลวง หรืออาจเกิดความเสียหายได้ในอนาคต บางกรณีอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าหรือฆ่าตัวตายได้หากเกิดความเครียดจากปัญหาดังกล่าว 3) เพื่อสร้างความตระหนักและก้าวสู่การเป็นพลเมืองดิจิทัลที่ดี และ 4) เพื่อเตรียมทักษะและความพร้อมสำหรับอนาคต ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี โดยทักษะการคิดวิเคราะห์ ประเมินความน่าเชื่อถือ เป็นการใช้เหตุผลจนถึงการนำไปต่อยอดในด้านต่าง ๆ ได้
แนวทางพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในอนาคต
‘โครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง’ หรือ Teacher and School Quality Program (TSQP) วัดผลลัพธ์การเรียนรู้ 4 ด้าน คือ คุณค่า (Values) ทัศนคติ (Attitude) ทักษะ (Skills) และ ความรู้ (Knowledge) หรือจำกัดความสั้น ๆ ว่า ‘VASK’ โดยมีโรงเรียนหลายแห่งผ่านเกณฑ์และได้ยกระดับเป็น TSQM คือจากเดิม P = Project กลายเป็น M = Movement คือเป็นการทำงานแบบวงกว้าง ขับเคลื่อนมากขึ้นกว่าเพียงระดับโครงการ โดยในระดับนี้จะมีมาตรการที่ชื่อว่า ‘School Zero Dropout’ เป็นการช่วยตรวจสอบ/สอดส่องเพื่อป้องกันกลุ่มเด็กที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา เป็นการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพื่อให้เกิดความเสมอภาคและเท่าเทียม
จูสตีน ซาส หัวหน้าฝ่าย Education for Inclusion and Gender Equality องค์การยูเนสโก สำนักงานใหญ่ (กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส) ได้ให้ข้อมูลว่า กลยุทธ์ที่คุ้มค่าที่สุดในการพัฒนาเศรษฐกิจคือ การลงทุนในการศึกษา เพราะเพียงแค่ลดสัดส่วนเด็กที่ต้องออกจากโรงเรียนก่อนกำหนดและมีทักษะขั้นพื้นฐานต่ำเพียงร้อยละ 10 อาจจะเพิ่ม GDP ได้ถึงร้อยละ 1-2 ต่อปี ซึ่งประเทศต่าง ๆ ควรควรลงทุนเรื่องการศึกษาและพัฒนาผลลัพธ์การเรียนรู้ อาทิ การจัดสรรงบประมาณเพื่อการศึกษา การสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่คำนึงถึงความเท่าเทียมทางเพศ รวมไปถึงการลงทุนในการศึกษาระดับปฐมวัยเพื่อวางรากฐานที่มั่นคงในการเรียนรู้ และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โรงเรียน บุคลากรทางการศึกษา และข้อมูลการวิจัยเพื่อกำหนดแนวทางการขับเคลื่อนต่อไป
ปัจจุบันพบปัญหาเด็กที่ไม่ได้เข้าระบบการศึกษามากขึ้น เนื่องด้วยปัญหาค่าใช้จ่ายที่สูง ซึ่งเด็กวัยเรียน คือ อายุระหว่าง 3-24 ปี เป็นวัยที่ควรให้ความสำคัญ โดย ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) มองว่า ไม่ควรทำให้การศึกษาอยู่ในรูปแบบของการสงเคราะห์ ควรให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องผลักดันให้เกิดนโยบายแรงงานมีทักษะ (skilled labor) และแนวคิดพาสปอร์ตแห่งการเรียนรู้ (learning passport) ที่เปิดโอกาสให้เด็กวัยเรียนสามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ จากที่ใดก็ได้ในโลก และเชื่อมโยงหน่วยกิตเข้าด้วยกันให้เป็นลักษณะของการแสดงผลผ่านใบแสดงผลการศึกษาเพียงใบเดียว ซึ่งปัจจัยที่ต้องเร่งปฏิรูปการศึกษามี 6 ปัจจัย ได้แก่ (1) โครงสร้างระบบการศึกษา กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นการรวมศูนย์เป็นโครงสร้างใหญ่เหมือนแต่เดิม หรือแยกอำนาจ กระจายเป็นภาคส่วนเล็ก ๆ แบบใหม่นั้น พบว่า การทำงานยังคงล่าช้า ไม่สามารถดำเนินการพัฒนาอะไรได้อย่างรวดเร็ว (2) คุณภาพการศึกษา กล่าวคือ ประเทศไทยมีผลประเมินประเทศ คะแนน PISA อยู่ในอันดับรั้งท้ายต่ำกว่าคะแนนค่าเฉลี่ย ทั้งด้านคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ (3) งบประมาณการศึกษา กล่าวคือ งบประมาณที่ลงทุนกับคุณภาพการศึกษามีเพียง 10% เท่านั้น (4) ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา กล่าวคือ มีความแตกต่างระหว่างโรงเรียนค่อนข้างสูง แบ่งเป็นหลายระดับ ทั้งที่ในความเป็นจริง เด็กนักเรียนในประเทศควรจะได้รับการศึกษาที่เท่าเทียมกันเป็นมาตรฐาน (5) หลักสูตรการเรียนการสอน กล่าวคือ ไม่มีการปรับหลักสูตรให้เหมาะกับยุคสมัยมาตั้งแต่ปี 2544 ทำให้เด็กหันไปพึ่งพาสื่อมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงควรจะระบุในหลักสูตร ปรับให้ทันสมัย เพื่อให้สามารถสอนเด็กได้อย่างถูกต้อง รู้เท่าทัน และ (6) ระบบผลิตครู กล่าวคือ มีการผลิตครูออกมาในแต่ละปีค่อนข้างมาก แต่จำนวนที่รับเข้าเป็นบุคลากรได้นั้นค่อนข้างน้อย นอกจากนี้ ยังมองว่า ควรนำเทคโนโลยี AI และดิจิทัลแพลตฟอร์มมาใช้ รวมถึงควรเลิกจัดงานอีเวนต์ เนื่องด้วยงบประมาณจำกัด และการไปศึกษาดูงานเมื่อกลับมาแล้วไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ควรปรับเปลี่ยนนโยบายให้สอดคล้องกับความเป็นจริง ไม่ใช่เพียงยึดตามกระทรวงศึกษาธิการ ที่เน้น “เรียนดี มีความสุข” เท่านั้น เนื่องจากเป็นระดับอุดมศึกษา ไม่ใช่ระดับปฐมวัย จึงควรมุ่งเน้นเพื่อการวิจัยมากกว่า
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.). (2568). เปิดโจทย์การศึกษา 2568: ถึงเวลายกระดับโครงสร้างใหม่ เพื่อ
การศึกษาไทยที่เท่าเทียมมากขึ้น. สืบค้นจาก https://www.eef.or.th/education-restructuring-for-equity-2025/
ไทยรัฐออนไลน์. (2568). รวมทักษะจำเป็น “ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21” ปรับตัวเพื่อโลกการทำงานแห่งอนาคต. สืบค้นจาก
https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2868978
มติชนออนไลน์. (2568). เปิด 10 แนวโน้มการศึกษาปี 2568 นักวิชาการแนะ อว.ปักธงนโยบายใหม่ จี้ ศธ.ปฏิวัติการศึกษา.
สืบค้นจาก https://www.matichon.co.th/local/education/news_4985155
วิจารณ์ พานิช. (2567). “โรงเรียนแห่งอนาคตไม่ใช่ ‘โรงสอน’ แต่เป็น ‘โรงสร้าง’ ระบบนิเวศการเรียนรู้ที่โอบรับความ
หลากหลาย”. สืบค้นจาก https://www.eef.or.th/news-181224-2/
สิรินาฏ ศิริสุนทร. (2568). ชำแหละการศึกษาไทย: “การเมือง”ฉุดปฏิรูป ทำอันดับรั้งท้ายโลก. สืบค้นจาก
https://policywatch.thaipbs.or.th/article/education-21
สำนักงาน หนังสือพิมพ์ อปท.นิวส์. (2568). ยุคของการศึกษาแห่งอนาคต 6.0 Education 6.0. สืบค้นจาก
https://www.opt-news.com/news/50067
iconext writer (นามแฝง). (2568). AI กับการปฏิรูปการศึกษาในโรงเรียน อนาคตของการเรียนรู้ที่ไม่เหมือนเดิม. สืบค้นจาก
https://iconext.co.th/th/2025/07/07/ai-revolution-in-education-2/
Nicole Hill. (2568). เทคโนโลยีกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสอน: ก้าวสู่ห้องเรียนแห่งอนาคต. สืบค้นจาก
https://breakthroughprovidence.org/education/เทคโนโลยีกับการเปลี่ยน/
OKMD. (2025). เด็กๆ รู้จัก Deepfake แค่ไหน พารู้ทัน AI ตั้งแต่ในชั้นเรียน. สืบค้นจาก
https://knowledgeportal.okmd.or.th/knowledge/67f79e8f6a0fd
แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
Csorba, L. M., & Dabija, D.-C. (2024). The impact of the COVID-19 pandemic on students’ future online
education behaviour. Heliyon, 10(20), 1-14. Retrieved from
https://doi.org/10.1016/j.heliyon.2024.e39560
Kozová, K., Grenčíková, A., & Habánik, J. (2024). Building a sustainable future: gender, education & workforce
needs of gen z. Economics and Sociology, 17(2), 209–223. Retrieved from
https://doi.org/10.14254/2071-789X.2024/17-2/10
Kshetri, N. (2023). The future of education: generative artificial intelligence’s collaborative role with teachers.
IT Professional, 25(6), 8–12. Retrieved from https://doi.org/10.1109/MITP.2023.3333070
Sockalingam, N., Lo, K., Teo, J., Wei, C. C., Jiet, D. C. J., Herremans, D., Jun, M. L. M., Kurniawan, O., Wang, Y. &
Leong, P. K. (2025). Towards the future of education: cyber-physical learning. Discover Education,
4(82). Retrieved from https://doi.org/10.1007/s44217-025-00474-x
Vartiainen, H., Valtonen, T., Kahila, J. & Tedre, M. (2025). Chatgpt and imaginaries of the future of education:
insights of finnish teacher educators. Information and Learning Sciences, 126(1–2), 75–90.
Retrieved from https://doi.org/10.1108/ILS-10-2023-0146
Vemuri, A. (2025). The lighthouse campus: guiding the future of education through intelligent connection and
seamless innovation. Journal of Computer Science & Technology Studies, 7(6), 256–263.
Retrieved from https://doi.org/10.32996/jcsts.2025.7.6.28
Youssfi, S. E., Filali, I. B., & Hammoumi, M. M. E. (2024). Teaching for a sustainable future: implementing
education for sustainability in a moroccan high school. International Review of Education, 70(6),
979–1008. Retrieved from https://doi.org/10.1007/s11159-024-10082-w
